เมื่อพูดถึง Eric Barone แล้วหลายคนอาจจะสงสัยว่าเขาคือใคร แต่หากพูดถึง ConcernedApe แล้ว หลายคนน่าจะรู้จักขึ้นมาทันทีสำหรับผู้สร้างสรรผลงานชื่อดังอย่าง Stardew Valley เกมทำฟาร์ม จีบ NPC สุดชิวนั่นเอง ในวันนี้ก็จะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับเขาคนนี้ให้มากขึ้นกันอีกซักนิดว่าเขาเป็นใคร รวมถึงก่อนจะมาเป็น Stardew Valley และหลังจากนั้นกัน
วันวานของ Eric Barone
คุณ Eric Barone หรือที่รู้จักกันในนามของ ConcernedApe เป็นหนึ่งในเกมเมอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบในเกมของเครื่อง SNES (Super Famicon บ้านเรา) เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Chrono Trigger, Earthbound และแน่นอนว่า Harvest Moon ก็รวมอยู่ด้วยเช่นกัน เขามีความชอบในเกม Classic เก่าๆ รวมไปถึงบนเครื่อง PC อย่าง King’s Quest หรือ Hero’s Quest อีกด้วย
ในสมัยที่เขายังเรียนอยู่ เขาสนใจในด้านดนตรีและศิลปะค่อนข้างมาก ตัวเขาเป็นมือกีต้าห์ประจำวงเล็กๆ ของเขา “17 Colorful Feathers” และมีออกผลงานออกมาบ้าง อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะเป็นโปรแกรมเมอร์ สร้างสรรเกมเป็นหลักอย่างในปัจจุบันแต่อย่างใด แถมเกมแรกสุดที่เขาทำนั้น ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกอยากทำอะไรสนุกๆ ประสาวัยรุ่น โดยเขาได้มีความคิดแปลกๆ ขึ้นมานั่นคือ อยากลองทำเกมเล็กๆ แถมไปในอัลปั้มเพลงที่เขาขายบนอินเตอร์เน็ทเป็นของแถม ซึ่งเกมในตอนนั้นก็ชื่อว่า “17CF Quest” นั่นเองและเขาก็ได้ทำออกมาจริงๆ ซะด้วย
ตัวเกม 17FC Quest นั้นเป็นเกมเล็กๆ แบบ point-and-click adventure ที่เป็นแนวจิ้มเพื่อเดินสำรวจสิ่งต่างๆ และก็บอกได้เลยว่า เจ้าตัว Eric ก็ยอมรับว่ามันออกจะเห่ยสุดๆ เลยด้วยซ้ำ หน้าตาตัวเกมก็ออกมาแบบ MS Paint เหมือนกับเด็กๆ วาดเล่นเลยล่ะ แต่เขาก็สนุกไปกับมันและรู้สึกโอเคตอนที่มันสำเร็จออกไป ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะรู้สึกว่ามันน่าอายเป็นบ้าเลยก็ตามที่ทำเกมออกไปแบบนั้นเนี่ย อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกมแรกของเขาได้ [ ที่นี่ ]
แม้ว่าในสมัยที่เรียนอยู่ คุณ Eric จะเห็นว่าอุตสาหกรรมเกมในเวลานั้นถูกกดค่าแรงและงานหนักมาก แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเรียนสาย Computer Science และเขาก็มีปัญหากับการหางานที่เขาต้องการมาก ถึงว่ามันจะเป็นเป้าหมายชีวิตง่ายๆ อย่างขอแค่เป็นงานที่ทำแล้วเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่กับแฟนของเขา Amber ได้ไม่ลำบาก มีเงินเก็บไปพัฒนาชีวิตอย่างการแต่งงาน มีห้องเช่าที่ใหญ่กว่าเดิมได้ ดูแลลูกๆ อย่างไม่มีปัญหา แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถหางานดังกล่าวได้เลย
เพื่อที่จะทำให้มีโอกาสในการหางานที่มากขึ้น เขาก็รู้ว่ามีแต่ต้องพัฒนาตัวเองเท่านั้น เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนโค้ดให้ได้ดีขึ้น และหนทางที่ดีที่สุดของเขาคือทดลองและฝึกมันให้มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่แว่ปเข้ามาในความคิดเขาคือ ใช้โอกาสนี้ในการเขียนโปรแกรมเกมขึ้นมาดูซิ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตัว Stardew Valley นั่นเอง
หนทางสู่ Stardew Valley โรยด้วยหนามกุหลาบ
เพื่อนๆ อาจจะทราบกันแล้วว่าตัวเกม Stardew Valley นั้น ใช้เวลาพัฒนากว่า 4 ปีก่อนที่จะออกมาเป็นตัวเกมเวอร์ชั่นแรกให้เราได้ลองเล่นกัน แต่หนทางก่อนที่จะเกิดมาเป็น Stardew Valley นั้นไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว และมันก็เต็มไปด้วยการลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว
ความรู้สึกอยากทำตัว Stardew Valley นั้นมาจากที่เขานั้นชอบเล่น Harvest Moon มาก รวมถึงได้มีส่วนร่วมเล่นใน Minecraft Server ที่มีการ Mod เป็น Harvest Moon อยู่เรื่อยๆ ตัวเขานั้นมีความรู้สึกที่น่าจะคล้ายหลายคนอยู่ว่า ซีรี่ย์ Harvest Moon เนี่ย ตั้งแต่หลังจากภาค Back to Nature มามันเริ่มสนุกน้อยลงเรื่อยๆ เขาพยายามจะลองหา Fan Game หรือ Mod อื่นๆ แต่ก็ไม่มีอะไรตอบโจย์ความต้องการของเขาได้เลย ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่เขาเหลือคือ “สร้างมันขึ้นมาเอง” นั่นเอง
ก้าวแรกนั้นก็เล่นงานเขาอย่างเจ็บปวด เขาเริ่มแบบไม่รู้จะไปทางไหน ก่อนจะเริ่มสร้างตัวละคร Avatar หรือตัวผู้เล่นขึ้นมานั่นเอง จากนั้นเขาจึงพยายามเริ่มคิดจากอะไรเล็กๆ ก่อน นั่นคือค่อยๆ ขยายออกไปจากตัวผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่สำรวจได้ ตัวฟาร์ม ระบบที่เกี่ยวกับฟาร์ม เขาใช้เวลาในการค้นคว้าและศึกษาจากเกมหรือสิ่งต่างๆ เพื่อมาสร้างเนื้อหาในส่วนนี้ ก่อนจะค่อยๆ ขยายไปส่วนอื่น และถ้าส่วนไหนที่เขารู้สึกไม่พอใจ เขาก็จะแก้ไขมัน หรือถึงขั้นรื้อทิ้งทำใหม่เลยด้วยซ้ำ
ลำพังแค่ส่วนของกรอบหน้าตาตัวละครนั้น ตัวละครแต่ละตัวถูกแก้ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งเลยทีเดียว แต่ละบรรทัดที่ NPC พูดคุยกับผู้เล่นนั้น เขาทำการเขียนขึ้นมา อ่านซ้ำ แก้ไขซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าที่เขาจะพอใจกับมัน และนั่นคือสิ่งที่ตัวเขา Eric Barone เป็น เขาเป็นคนที่ไม่เคยมองหาหนทางที่ง่ายกว่า และต้องการที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ด้วยความคิดที่ว่า “อยากให้เกมนี้มันเป็นเกมที่เมื่อคุณเล่นแล้วไม่รู้สึกว่ากำลังเล่นเกม แต่กำลังอยู่ร่วมกับมันมากกว่า เขาอยากให้ตัวละครเหล่านั้นมีความรู้สึก มีชีวิตชีวาไม่ใช่แค่ตัวละครในเกม”
ด้วยการทำงานเหมือนคนที่ทุกอย่างต้องเป๊ะตามความคิดของเขานี้ ทำให้ตัวเกมนั้นถูกรื้อใหม่หลายต่อหลายครั้ง เช่นจากการใช้โปรแกรมช่วยเหลืออย่าง Game Maker แล้วพบว่ามันไม่ตอบโจทย์ เขาก็รื้อกลับไปเริ่มต้นใหม่ใน C# แทน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเกมถึงต้องใช้เวลากว่า 4 ปีครึ่งในการพัฒนาจาก 0 จนเสร็จ นั่นยังไม่รวมถึงอุปสรรคหลายอย่างที่เขาต้องเจอ อย่างการที่ไม่รู้จะนำไอเดียที่เขาอยากทำไปใส่ในเกมยังไงเพราะเขาไม่รู้วิธีเขียนโค้ดในส่วนนั้น เมื่อผสมกับการที่เขาอยากทำคนเดียว ไม่อยากรู้สึกว่าต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ทำให้เขาไม่คิดแม้แต่จะไปตั้งคำถามในอินเตอร์เน็ตให้คนอื่นช่วยแนะนำเขาด้วยซ้ำ เขาใช้วิธีหาคนที่ถามอะไรคล้ายๆ นั้นมาเป็นแนวทางในการหาคำตอบให้กับตัวเขาเองจนผ่านมันมาได้
ความมั่นใจที่กลายเป็นความไม่มั่นใจ
การนั่งพัฒนาเกมด้วยตัวคนเดียวกว่า 4 ปีครึ่งนั้น ไม่ว่าจะรักผลงานนั้นขนาดไหน แต่ก็ย่อมมีช่องโหว่ ผลงานที่เขาทำมาตลอดหลายปีที่่ผ่านมานั้น ในช่วงเวลาหลายเดือนก่อนการวางจำหน่าย คุณ Eric เริ่มรู้สึกท้อแท้ เขาคุยกับเพื่อนและแฟนสาวของเขาหลายครั้งว่าควรจะล้มเลิกมันดีไหม เขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป การนั่งเล่น ทดลองซ้ำไปซ้ำมานั้นทำให้เขาไม่รู้สึกแล้วว่าเกมที่เขาทำอยู่มันเป็นยังไง มันดีหรือมันแย่กันแน่
ตามปกติแล้ว ตัวเกมนั้นจะต้องมีการทดลองเล่นโดยกลุ่ม Play Tester ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อหาบัคและรับเสียงตอบรับต่อตัวเกม มันสนุกจริงไหม มันสนุกหรือเปล่า
ตัวเขาเองเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เล่นเกมนี้ แม้ว่าบางครั้งเขาจะให้แฟนสาวของเขามาลองเล่นบ้าง แต่ด้วยความที่ Amber ไม่ได้คลุกคลีกับเกม เธอไม่อาจจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่ามันเป็นอย่างไร ความกดดันต่อการที่ตัวเกมจะออกวางจำหน่ายนั้นมันหนักหนากว่าที่เขาคิดมาก โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ของแฟนสาวเขาถามว่า ตัวเกมเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อไหร่มันจะเสร็จ? คุณ Eric ต้องหาทางพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่านี่ไม่ใช่ความเฟ้อฝันหรือละเมอลมๆ แล้งๆ (ตรงนี้ต้องไม่ลืมว่า เขาหมกมุ่นอยู่กับการทำ Stardew Valley ถึง 4 ปีครึ่ง โดยที่คนอื่นไม่รู้เลยว่ามันจะออกมายังไง มันเป็นเวลาที่ยาวนานมาก)
ด้วยการผลักดันของแฟนสาวที่แย้งกับเขาว่า การให้เกมสำเร็จออกมาได้แม้จะมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย ยังดีกว่าเกมที่ไม่เสร็จเสียที ในที่สุดเขาก็ยอมที่จะปลดความลับของตัวเกมที่เก็บไว้คนเดียวซักที เขาได้ให้สตรีมเมอร์บน Twitch สามคนมาช่วยเล่นเกมของเขาเป็น Play Tester แบบลับๆ ประกอบไปด้วยคุณ Bexy, Siri, Prens ซึ่งด้วยการช่วยกันของทั้งสามคนนี้ พวกเขาได้ช่วยทำสิ่งที่คุณ Eric ขาดหายไป นั่นคือการให้คำติชมตอบรับต่อตัวเกมอย่างที่เขาต้องการ รวมถึงช่วยหา Bug ต่างๆ ของตัวเกม ตลอดเวลาที่ช่วยกันนั้นพวกเขาได้เล่นรวมไปกว่า 500 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ดอกไม้งามนาม Stardew Valley และคนปลูกที่อ่วมอรทัย
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ตัวเกมจะวางจำหน่าย ปัญหาก็ยังมี แต่อาจจะเป็นโชคดีที่เจอก่อนก็เป็นได้ ในตอนนั้นคุณ Eric ได้เจอกับบัคร้ายแรงของเกมที่ส่งผลให้ผู้เล่นเล่นต่อแทบไม่ได้ (ตัวเขาเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นยังไง) ถ้าเป็นตามปกติ คงมีทีมงานช่วยกันแก้ไขแล้ว แต่นี่มีเพียงเขาคนเดียวเช่นเคย และเขาก็แทบจะสติแตกกับการพยายามหาทางแก้มันให้ได้ให้ทันก่อนที่ตัวเกมจะออกวางจำหน่ายให้ได้ ถึงกระนั้นเขาก็กลับรู้สึกสนุกไปกับมันทั้งที่เหนื่อยสุดๆ เช่นเดียวกัน
เมื่อเกมออกวางจำหน่าย มันก็ขายได้กว่า 500,000 ชุดภายในช่วงไม่กี่วัน และนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อตัวเกมมากกว่าเดิมเสียอีก เขาทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อแก้ไขบัคต่างๆ และอัพเดทตัวเกมอย่างต่อเนื่อง ผลตอบรับของตัวเกมนั้นก็อย่างที่เพื่อนๆ ทุกคนทราบว่า ทุกคนต่างเฝ้ารอเกมที่จะมาแทนที่ Harvest Moon บนเครื่อง PC นานแสนนานแล้ว และคุณ Eric ก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้แค่ละเมอเพ้อฝันไปวันๆ ว่าเขาต้องทำเกมให้สำเร็จ แต่เขาทำได้และมันสำเร็จจริงๆ ความนิยมของตัวเกมพุ่งถล่มทลาย คะแนนรีวิวออกมาสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (รวมถึงสร้างกระแสเกมฟาร์มบน PC ตามมาในอีกภายหลัง)
คุณ Eric นั้นได้พยายามทุ่มเทพัฒนาตัวเกมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Patch ใหม่ๆ ฟาร์มใหม่ๆ พืชไร่ชนิดใหม่ หมั่นแก้ไขบัคต่างๆ อยู่เสมอเพียงตัวคนเดียว จนกระทั่งวันหนึ่งในเดือนสิงหาคมปี 2017 เขาก็เริ่มรู้สึกว่า มันถึงจุดที่เขาควรจะพอกับมันได้แล้วล่ะ
เมื่อลูกนกโตแล้ว พ่อแม่ก็วางใจ
คุณ Eric ได้ตัดสินใจหยุดพัก และออกเดินทางพักผ่อนกับแฟนสาวและคนในบ้านของเขา พวกเขาเดินทางข้ามจังหวัดต่อจังหวัด แวะพักผ่อนและเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยงเด่นๆ รวมไปถึง Grand Canyon และ Disney Land ก่อนจะกลับมาที่บ้านของเขาอีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องกลับมาพัฒนา Stardew Valley ต่อ เพราะยังมีสัญญาที่ค้างคาไว้นั่นคือ Multiplayer Mode นั่นเอง รวมถึงเป็นจุดเปลี่ยนการทำงานของเขาจากคนเดียว มาทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อให้สามารถพัฒนาระบบ Multiplayer นี้ให้สำเร็จให้ได้ แต่เขาก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งแนวทางเดิม นั่นคือการทำงานกับทีมเล็กๆ เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกเหมือนเดิมที่สามารถควบคุมทิศทางการทำงานทั้งหมดได้
เมื่อระบบ Multiplayer และการแก้บัคต่างๆ หลังจากนั้นเสร็จ เขาก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะไปต่อจาก Stardew Valley เสียที แม้ว่ามันจะเป็นเกมที่เขาก็จะแวะเวียนกลับมาหามันตลอดชีวิตของเขาก็ตาม “ผมรู้สึกผูกพันธ์กับมันน้อยกว่าเมื่อก่อนที่มันจะวางจำหน่าย แต่นั่นก็เพราะว่าเกมนี้ได้เติบโตพอที่จะบินออกไปจากรังแล้ว มันเป็นเกมที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าที่จะมีแค่ผมเพียงคนเดียว รวมไปถึงมันได้มีส่วนร่วมกับผู้เล่นคนอื่นๆ อย่างพวกคุณด้วย ว่ามันคงเหมือนกับความรู้สึกของพ่อแม่ที่มีลูกนั่นแหละ เมื่อลูกโตแล้วเขาก็จะออกไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันรู้สึกอย่างนั้นถึงจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะก็ตามที”
แน่นอนว่าจากการอัพเดท 1.4 ก็ยังทำให้พวกเราได้เห็นว่า เขาก็ยังคงแวะเวียนกลับมาดูแล Stardew Valley อยู่เช่นกัน แต่อาจจะไม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว
หลังจากนั้น….?
คุณ Eric นั้นค่อนข้างตื่นเต้นและดีใจกับการเริ่มงานใหม่ของเขาด้วยซ้ำ เขาใช้เวลาดูแล Stardew Valley มาร่วม 6-7 ปี มันเป็นระยะเวลาที่นานมาก การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หลังจากที่รู้สึกเบื่อและหมดไฟกับของเก่าแล้วนั้นเป็นอะไรที่ทำให้สดชื่นได้เสมอ ซึ่งสำหรับคุณ Eric เองก็เช่นกัน เขาเองก็ตั้งใจจะทุ่มเทให้กับโปรเจคเกมใหม่ของเขาให้หนักกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ เขาต้องการที่จะให้เกมนี้มันเป็นอะไรที่ทำให้ทุกครั้งที่เล่นผู้เล่นนั้นรู้สึกเหมือนได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ ที่ไม่คาดคิดตลอดเวลา
สำหรับหลายคนอาจจะเป็นเรื่องแปลก แต่คุณ Eric เองก็ชอบการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ของเขาก่อนที่ Stardew Valley จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ เขารู้สึกไม่พอใจกับการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่าเมื่อเขาชอบชีวิตที่เคยเป็นในแบบนั้น เขาก็ไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงมันไปทำไม
ว่ากันแล้วตัวเกมใหม่นี้ เขามีไฟและความตั้งใจมากกว่าเดิมแบบสุดๆ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีในเกมนี้นั้น ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เขาตั้งใจที่จะสร้างเกมที่ตัวเขาอย่างสร้าง ในแบบที่เขาอยากให้มันเป็น โดยไม่สนใจว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จได้อย่าง Stardew Valley ด้วยซ้ำ แต่ในครั้งนี้ เขาไม่มีอะไรมาผูกมัดแล้ว และไม่มีปัญหาเรื่องของการเงินแล้วด้วย หากว่ากันแล้ว Stardew Valley นั้นเขารู้สึกเหมือนมีบ่วงผูกมัดเขาไว้ เพราะเขาตั้งใจทำมันขึ้นมาจาก Harvest Moon ซึ่งมันทำให้หลายๆ อย่างต้องอยู่ในกรอบนี้ แต่สำหรับเกมใหม่นี้ เขาไม่มีอะไรผูกมัดแล้ว ทุกอย่างเป็นอิสระอย่างที่เขาสามารถทำมันได้จริงๆ แล้ว
อย่างที่พวกเราคงทราบกันแล้วกับทางคุณ Eric และเบื้องหลังการทำงานของเขา ดังนั้นสำหรับตัวเกมใหม่นี้ มันก็คงยังไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าเสร็จแล้วแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่ากำลังทำมันมาเป็นปีแล้วก็ตามที เพราะเขากำลังกลับไปทำเกมในแบบของเขาอีกครั้ง กำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในแบบที่ตอนนี้พวกเราคงพูดพร้อมกันได้ว่า “ทำด้วยตัวคนเดียว” นั่นเอง